เหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ที่ไหน

การดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี แบ่งเป็น

  • พื้นที่บนผิวดิน สำหรับสร้างอาคารสำนักงานและโรงแต่งแร่ อยู่ในพื้นที่บ้านหนองตะไก้ ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี เนื้อที่ 1,681 ไร่
  • พื้นที่ใต้ดิน สำหรับการทำเหมือง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของ ตำบลโนนสูง ตำบลหนองไผ่ ตำบลหนองขอนกว้าง อำเภอเมืองอุดรธานี และตำบลห้วยสามพาด ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม เนื้อที่รวม 26,446 ไร่ 1 งาน 49 ตารางวา

เหตุใดการทำเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี จึงเลือกพื้นที่บริเวณบ้านหนองตะไก้ เป็นโรงแต่งแร่

เพราะเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมต่อการทำเหมืองฯ กล่าวคือมี ปริมาณแร่โพแทชที่สามารถทำเหมืองได้เหมาะสม เป็นที่ราบและสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 190 เมตร ไม่มีแหล่งโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ และ ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟหนองตะไก้และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 จึงสามารถขนส่งแร่ได้สะดวกรวมถึงมีระบบสาธารณูปโภค ต่างๆ ที่สามารถรองรับความต้องการของโครงการได้อย่างเพียงพอ ทั้งไฟฟ้าจากสถานีไฟฟ้าย่อยจังหวัดอุดรธานีและ น้ำประปา จากการประปาส่วนภูมิภาคอุดรธานี โดยไม่ส่งผลต่อการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปาของชุมชน

แร่โพแทชนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใด

ประโยชน์หลักๆ ของแร่โพแทช คือ ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแม่ปุ๋ยหนึ่งในสามส่วนผสมสำคัญในการผลิตปุ๋ยเคมี (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม) โดยปุ๋ยโพแทสเซียมมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มผลผลิตและป้องกันโรคให้แก่พืชผล

การทำเหมืองแร่โพแทชในประเทศไทย สำคัญอย่างไร

ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรมที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช โดยไม่สามารถใช้ปุ๋ยอื่น ๆ ทดแทนได้ เนื่องจากปุ๋ยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและหน้าที่แตกต่างต่างกัน ในขณะที่ประเทศไทยมีการนำเข้าแร่โพแทชในแต่ละปีประมาณ 700,000 ตัน คิดเป็นจำนวนเงินที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียในแต่ละปี สูงถึงกว่า 9,000 ล้านบาท ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถพัฒนาโครงการเหมืองแร่โพแทชได้สำเร็จ ราคาปุ๋ยเคมีก็มีแนวโน้มที่จะถูกลงจากเดิม เกษตรกรสามารถเข้าถึงปุ๋ยเคมีได้มากขึ้น ช่วยลดงบประมาณของประเทศจากการนำเข้าแร่โพแทชจากต่างประเทศและสร้างรายได้จากการส่งออกขายยังต่างประเทศ ปีละประมาณ 18,000 ล้านบาท

ประโยชน์ของแร่โพแทช นอกจากนำมาทำเป็นปุ๋ยแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง

นอกจากแร่โพแทชจะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปุ๋ยเคมีแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์บางประเภท เช่น การผลิตแก้ว ยา สบู่และเซรามิก เป็นต้น

โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี มีปริมาณสำรองแร่มากแค่ไหน คุ้มค่ากับการทำเหมืองหรือไม่?

จากการสำรวจแหล่งแร่โพแทชในพื้นที่โครงการฯ พบว่ามีปริมาณแร่สำรองประมาณ 267.79 ล้านตัน วางตัวในแนวค่อนข้างราบที่ความลึกจากผิวดิน เฉลี่ย ประมาณ 315 เมตร โดยมีความหนาของชั้นแร่เฉลี่ย 3.6 เมตร มีค่าคุณภาพแร่เฉลี่ยเท่ากับ 23.24 %K2O (เทียบเท่า 38.10 %KCl)
แหล่งแร่โพแทชในจังหวัดอุดรธานีถือเป็นแหล่งแร่โพแทชคุณภาพสูง ซึ่งปริมาณแร่สำรองที่คาดว่าจะทำเหมืองได้คือ 100.51 ล้านตัน เมื่อทำการผลิตแร่แล้ว จะมีหัวแร่โพแทชประมาณ 36.37 ล้านตัน โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 2 ล้านตันต่อปี

เหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี มีระยะเวลาในการดำเนินการกี่ปี

โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี ได้รับอนุญาตประทานบัตรให้ดำเนินโครงการในปี 2565 โดยมีระยะเวลาในการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2565 – 22 กันยายน 2590 รวมระยะเวลาทั้งหมด 25 ปี

ปัจจุบัน เกษตรกรไทย ใช้ปุ๋ยโพแทสเซียมจากไหน ?

แหล่งแร่โพแทชคุณภาพดี ที่สามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์มีมากในประเทศแคนาดา รัสเซีย และเบลารุส รวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดจากทั่วโลก ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในอังกฤษ เยอรมนี สเปน สหรัฐอเมริกา  อิสราเอล จอร์แดน จีน ชิลี และบราซิล  ในขณะนี้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียยังไม่สามารถผลิตโพแทชได้เอง ยังคงต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ยกเว้นจีน และสปป.ลาว ที่เริ่มพัฒนาเพื่อนำขึ้นมาใช้ประโยชน์แต่กำลังการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญแหล่งสำรองแร่ที่ สปป.ลาวกำลังเร่ง พัฒนานั้นเป็นแหล่งเดียวกับพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของแหล่งนี้ เริ่มสามารถนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว

ฝุ่นเกลือที่ปล่อยออกมาจากโรงแต่งแร่ จะก่อให้เกิดดินเค็มรอบพื้นที่โครงการหรือไม่ ?

ไม่ทำให้ดินเค็ม เนื่องจากฝุ่นเกลือจากโรงแต่งแร่ ได้แก่ ฝุ่นเกลือโซเดียมคลอไรด์และฝุ่นเกลือโพแทสเซียม  คลอไรด์ ซึ่งฝุ่นเหล่านี้จะถูกดักไว้ด้วยเครื่องดักฝุ่นชนิดถุงกรอง ฝุ่นที่ดักได้จะนำกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตอีกครั้ง หนึ่ง ส่วนฝุ่นที่ออกจากโรงงานนั้นจะอยู่ในปริมาณที่ต่ำกว่ากฎหมายกำหนด และยังเป็นปุ๋ยที่เป็นประโยชน์ต่อพืช อีกด้วย

จะมีผลกระทบต่อเกษตรกรรมอันเป็นเศรษฐกิจหลักของชุมชนจากปัญหาการขยายตัวของดินเค็มและน้ำเค็มจาก การแต่งแร่ รวมถึงความเค็มของกองเกลือหรือไม่ ?

ไม่มีผลกระทบ ความเค็มจากการแต่งแร่จะมาจากเกลือซึ่งส่วนหนึ่งจะเป็นหางแร่ที่ถูกนำไปกองในบริเวณพื้นที่โครงการที่มีการปูด้วยพลาสติก HDPE สองชั้นหนา 2.5 มิลลิเมตร และมีระบบเฝ้าระวังป้องกัน (Monitoring Sensor) ในกรณีเกิดการรั่วไหล  อีกส่วนหนึ่งคือน้ำเกลือจากกระบวนการลอยแร่ที่จะถูกเก็บไว้ในบ่อคอนกรีตที่ปูด้วยพลาสติก HDPE สองชั้นหนา 2.5 มิลลิเมตร มีระบบเฝ้าระวังป้องกัน (Monitoring Sensor) และมีหลังคาคลุมทั่วบ่อ ซึ่งน้ำส่วนนี้จะถูกนำไปรวมกับหางแร่เพื่อถมกลับลงในช่องว่างใต้ดินจนหมด ดังนั้นการดำเนินการเหมือง จะไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรมของชุมชน

ฝุ่นละอองจากโรงแต่งแร่จะทำให้สังกะสีผุพังหรือไม่ และน้ำฝนที่เคยดื่มจะยังดื่มได้อย่างเดิมหรือไม่ ?

กิจกรรมการแต่งแร่จะเป็นระบบปิด คือ บริเวณไหนที่อาจก่อให้เกิดฝุ่นจะมีฝาครอบ มีการฉีดพรมน้ำ รวมถึงมีการติดตั้งเครื่องดักฝุ่นชนิดถุงกรองเพื่อดักจับฝุ่น ในส่วนของกองหางแร่ที่มาจากกระบวนการลอยแร่นั้นจะอยู่ในสภาพที่มีความชื้น ถูกนำไปกองเป็นชั้นและจับตัวกันเป็นผลึกแข็งจึงไม่ทำให้เกิดการฟุ้งกระจาย ดังนั้น การทำเหมืองจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผุพังของสังกะสีรวมถึงน้ำดื่ม เช่นกัน

ในพื้นที่โครงการมีแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500kv พาดผ่าน กองหางแร่และฝุ่นเกลือ จะมีผลกระทบต่อแนวสายส่งนี้หรือไม่ อย่างไร ?

สายส่งไฟฟ้าแรงสูงในบริเวณพื้นที่โครงการนั้นไม่ได้พาดผ่านกองหางแร่ เนื่องจากสิ่งก่อสร้างในพื้นที่โครงการ ต้องเว้นระยะห่างจากสายส่งไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 30 เมตรจากจุดศูนย์กลางของเสา ตามที่กฎหมายของกระทรวง พลังงานกำหนด หากจะพิจารณาถึงฝุ่นเกลือซึ่งมีปริมาณน้อยมากและเสาส่งฯ ที่มีความสูงประมาณ 65 เมตร สายไฟ ที่มีขนาดใหญ่แข็งแรงทนทาน จึงไม่ทำเกิดผลกระทบต่อ สายส่งไฟฟ้าแต่อย่างใด

รถขุดแร่ที่ใช้อยู่ในเหมืองใต้ดินจะอะไรเป็นเชื้อเพลิง และจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจนเป็นอันตรายต่อคนงาน ที่ทำงานอยู่ด้านล่างหรือไม่ ?

เครื่องขุดแร่ในเหมืองใต้ดินทำงานด้วยระบบไฟฟ้าจึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ตัวเครื่องยังมีระบบสเปรย์น้ำ เพื่อลดฝุ่นที่หน้างานอีกด้วย และการทำงานของพนักงานในเหมืองใต้ดินจะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้งซึ่งรวม ไปถึงหน้ากากป้องกัน ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อคนงานที่ทำงาน ในเหมืองใต้ดินแต่อย่างใด

กองหางแร่ มีความปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน มีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายแก่ชุมชนหรือไม่ ?

หางแร่ถูกออกแบบให้มีการกองแบบขั้นบันไดจำนวน 6 ชั้น ๆ ละ 4.5 เมตร โดยกองหางแร่จะมีมีความสูงไม่เกิน 27 เมตร พื้นที่สำหรับกองหางแร่จะปูพื้นด้วยพลาสติกประเภทพอลิเอทิลีนที่มีความหนาแน่นสูง (HDPE) ไม่ให้น้ำเกลือ ซึมลงใต้ดินและจะมีระบบ ตรวจสอบการรั่วซึม และการนำกองหางแร่ถมกลับลงไปในช่องว่างของเหมืองใต้ดิน

โครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องมีพวกเศษขยะ กากของเสีย น้ำเสีย ทางบริษัทจะจัดการสิ่งเหล่านั้นยังไง ?

โครงการจะไม่มีน้ำเสียจากกระบวนการผลิต มีเฉพาะน้ำเกลือเข้มข้นที่โครงการจะนำไปใช้ในการผสมหางแร่ใน กระบวนการถมกลับ ส่วนน้ำเสียจากอาคารสำนักงานจะบำบัดน้ำเสียด้วยระบบบำบัดน้ำเสียสำเร็จรูป และน้ำที่ได้ สามารถนำไปใช้รดนำต้นไม้ภายในโครงการได้ ในด้านเศษขยะและกากของเสียทั่วไป ซึ่งเกิดจากอาคารสำนักงานโครง การ จะคัดแยกขยะและรวบรวมกำจัดโดยองค์กรการบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนขยะอันตราย อาทิ บรรจุภัณฑ์สารเคมี ที่นำมาใช้ในการแต่งแร่ ถังน้ำมัน เป็นต้น โครงการจะรวบรวมและนำส่งให้บริษัทที่ได้รับการอนุญาตให้กำจัดขยะ อันตราย จากกระทรวงอุตสาหกรรมนำไปกำจัดตามหลักสุขาภิบาล

เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ เก็บตัวอย่างน้ำในหมู่บ้านทุกปี ไม่ทราบว่าเก็บเอาไปทำอะไร ?

เก็บไปเพื่อตรวจวัดคุณภาพของน้ำ ว่าก่อนมีเหมืองน้ำมีคุณภาพอย่างไร มีค่าความเค็ม มีสารเจือปน หรือไม่เพื่อเป็นฐานข้อมูลเปรียบเทียบในช่วงมีเหมืองว่าคุณภาพน้ำได้มีการเปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมของเหมืองหรือไม่ ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อมของเหมือง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับชาวบ้านในอนาคต

แผ่นวัสดุกันซึมที่ใช้ปูบ่อน้ำเกลือมีอายุการใช้งานกี่ปี ?

HDPE ที่โครงการใช้มีอายุการใช้งานมากกว่า 36 ปี

ในพื้นที่โครงการมีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวหรือไม่ ?

ไม่มีโอกาสเกิดเนื่องจากไม่อยู่ในบริเวณแนวรอยเลื่อนของการเกิดแผ่นดินไหวและกรมทรัพยากรธรณีได้กำหนด พื้นที่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในเรื่องแผ่นดินไหวเป็น 0

หากมีโรคชนิดใหม่ในพื้นที่ที่อาจจะมาจากกิจกรรมของเหมือง ทางเหมืองจะมีวิธีจัดการอย่างไร ?

โครงการได้วางแผนรองรับไว้แล้ว  อาทิ  การตรวจสุขภาพคนงานของโครงการทุกคนก่อนรับเข้าทำงาน มีสมุดสุขภาพประจำตัวการตรวจสุขภาพประจำปีของพนักงานรวมถึงมีบุคลากรทางการแพทย์ประจำบริษัทและยานพาหนะที่ ใช้ในการส่งต่อผู้ป่วย

ชาวบ้านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเหมืองแร่ใกล้บ้าน จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การศึกษากิจกรรมและประเมินผลกระทบต่อสุขภาพของโครงการฯ พบว่า ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของ ประชาชนที่สำคัญ ดังตารางที่ 1 จึงได้มีการกำหนดมาตรการฯ ดังนี้
ตรวจสุขภาพพนักงานใหม่ทุกคนเพื่อป้องกันการเกิดโรคใหม่
จัดให้มีหน่วยปฐมพยาบาลและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล รถส่งต่อผู้ป่วย เพื่อลดภาระของสถานพยาบาลในพื้นที่
มีอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลให้กับพนักงาน และพนักงานต้องสวมใส่ขณะปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด เพื่อ
ลดจำนวนผู้ป่วยจากการทำงานและลดภาระของสถานพยาบาลในพื้นที่
ตั้งกองทุนเฝ้าระวังภาวะสุขภาพของชุมชน 100 ล้านบาท และสนับสนุนหน่วยงานสาธารณสุขด้านความพร้อม และศักยภาพของบุคลากร
ร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เฝ้าระวังโรคติดต่อ และมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ให้บริการประชาชน

การตรวจสุขภาพของชาวบ้านเพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลก่อนที่จะเริ่มทำเหมือง จะทำได้จริงหรือไม่ ค่าใช้จ่ายจะเอามาจากไหน ?

 ทำจริง เนื่องจากการทำฐานข้อมูลเปรียบเทียบด้านสุขภาพมีกฎหมายกำกับให้ทุกโครงการต้องปฏิบัติตาม โดยใช้งบประมาณของโครงการ

ชุมชนโดยรอบมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่นในขั้นตอนการผลิตหรือไม่ ?

กระบวนการผลิตที่อาจจะทำให้เกิดฝุ่นจะติดตั้งสิ่งปกคลุมลดการกระจายของฝุ่น, การติดตั้งระบบดักเก็บฝุ่นละออง ด้วยถุงกรองฝุ่น ความละเอียดสูงรวมถึงการปลูกต้นไม้เชิงสูงรอบพื้นที่โรงการเพื่อเป็นแนวกันฝุ่นและเสียง

เมื่อปิดเหมืองไปแล้ว จะแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่มีผลกระทบตามมาทีหลัง ?

ทางโครงการยังคงมีแผนงานในการตรวจวัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องอีก 5 ปี เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่มีผลกระทบเกิดขึ้นมาภายหลังจากที่ปิดเหมืองไปแล้ว งบประมาณที่เตรียมไว้สำหรับดำเนินการตรวจวัดนี้จะอยู่ใน กองทุนประกันความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ชุมชน

มีเหมืองก็ต้องมีคนเข้ามาทำงานเยอะ อาจมีปัญหาอาชญากรรมตามมา แล้วทางเหมืองจะจัดการอย่างไร ?

คิดถึงและวางมาตรการที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้เอาไว้แล้ว อาทิ มีกฎระเบียบและข้อบังคับเรื่องเวลาเข้า-ออก จากแคมป์บ้านพักคนงาน  มีการตรวจสารเสพติดคนงานก่อนรับเข้าทำงานและตรวจสารเสพติดประจำปี หัวหน้าคนงานเข้าตรวจแคมป์บ้านพักคนงานอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันปัญหาด้านสังคมดังกล่าว นอกจากนั้นโครงการยังวางแผนที่จะประสานความร่วมมือกับหน่วยงานในชุมชนโดยรอบโครงการเพื่อปฏิบัติงานร่วมกันในการป้องปราม ควบคุมดูแลปัญหาปัญหาอาชยากรรม

เมื่อสิ้นสุดการทำเหมืองพื้นที่ภายในเหมืองจะกลายเป็นที่รกร้างเสื่อมโทรมใช่หรือไม่ ?

การดำเนินการทำเหมืองของโครงการย่อมส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การฟื้นฟูสภาพพื้นที่หลังการทำเหมือง จึงมีความจำเป็นเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ดีให้กลับคืนมา แม้จะไม่คืนสู่สภาพเดิม แต่เพื่อให้มีความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมข้างเคียงมากที่สุด  กิจกรรมการฟื้นฟูสภาพเหมืองของโครงการแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

1.การฟื้นฟูสภาพระหว่างการทำเหมืองด้วยการถมกลับ เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับเสาค้ำยันจากแรงดัน รอบๆ ลดการทรุดตัวของผิวดินจากการทำเหมืองใต้ดิน ตลอดจนเป็นบริหารจัดการกองเกลือบนผิวดินอีกด้วย โดย โครงการจะมีการถมกลับด้วยหางแร่ 95% ผสมกับเศษดินจากการขุดบ่อร้อย 5% ด้วยวิธีการถมกลับแบบเหลว (Slurry Backfill) ในช่วงปีที่ 5-ปีที่ 22 หลังจากเริ่มทำเหมือง อัตราการถมกลับประมาณ 90% ของปริมาตรช่องว่างใต้ดิน

2. การฟื้นฟูสภาพภายหลังสิ้นสุดการทำเหมือง เพื่อปรับปรุงสภาพพื้นที่บนผิวดินภายหลังสิ้นสุดกิจกรรมบน ผิวดินให้มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่โดยรอบด้วยการปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์พื้นที่บนผิวดินภายหลังสิ้นสุดกิจกรรม บนผิวดินของโครงการ โดยจะดำเนินการบนพื้นที่บนผิวดินเป็นพื้นที่ที่ใช้ก่อสร้างโรงแต่งแร่ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ต่างๆ ของโครงการ อาทิ โรงแต่งแร่ โรงเก็บแร่ดิบ โรงเก็บผลิตภัณฑ์ พื้นที่อาคารสำนักงานและอาคารอื่นๆ บ่อน้ำเกลือ 2 บ่อ บ่อดักน้ำเกลือจากกองหางแร่ 1 บ่อ เป็นต้น  ด้วยการเก็บกู้อาคารต่างๆ ปรับถมพื้นที่ ปรับปรุงสภาพดิน และปลูกต้นไม้และพืชคลุมดินซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 1,681-1-16 ไร่ ตั้งอยู่บนพื้นที่คำขอประทานบัตรที่ 1/2547 และเป็นที่ดินในกรรมสิทธิ์ของโครงการ

มั่นใจได้อย่างไรว่าน้ำอุปโภค-บริโภคที่ใช้อยู่ จะใช้ได้เหมือนเดิม

ไม่จริง เพราะการดำเนินการเหมือง การขุดอุโมงค์ทางลงเหมืองจะมีการปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้า   (Cut of Water Flow) เป็นการทำกำแพงกั้นไม่ให้น้ำใต้ดินไหลเข้ามาในพื้นที่หน้างาน การใช้เครื่องเจาะแบบ Shield ระบบ EPB ในการขุดทางลงเหมืองซึ่งเป็นเครื่องที่มีความเหมาะสมกับลักษณะทาง ธรณีวิทยาบริเวณพื้นที่ทำเหมือง ดังนั้นชาวบ้าน สามารถใช้น้ำจากบ่อน้ำใต้ดินได้ตามปกติ

จริงหรือไม่ถ้ามีเหมืองแร่โปแตซเกิดขึ้น บ่อน้ำที่ชาวบ้านเคยใช้จะหายไปหมด ?

ไม่จริง เพราะการดำเนินการเหมือง การขุดอุโมงค์ทางลงเหมืองจะมีการปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลเข้า   (Cut of Water Flow) เป็นการทำกำแพงกั้นไม่ให้น้ำใต้ดินไหลเข้ามาในพื้นที่หน้างาน การใช้เครื่องเจาะแบบ Shield ระบบ EPB ในการขุดทางลงเหมืองซึ่งเป็นเครื่องที่มีความเหมาะสมกับลักษณะทาง ธรณีวิทยาบริเวณพื้นที่ทำเหมือง ดังนั้นชาวบ้าน สามารถใช้น้ำจากบ่อน้ำใต้ดินได้ตามปกติ

บริษัทจะเอาน้ำจากไหนมาใช้ปริมาณมากๆ ?

โครงการจะขุดบ่อน้ำเพื่อเก็บกักน้ำใช้ในระบบ รวมทั้งการขุดร่องดักน้ำและคันดินรอบพื้นที่โรงงาน เพื่อให้น้ำฝน ที่ตกในโรงงานไหลลงสู่บ่อเก็บน้ำไม่ไหลออกไปภายนอกพื้นที่โครงการ และจะไม่มีการใช้น้ำจากหนองนาตาล หรือน้ำบาดาลในกระบวนการผลิตแต่อย่างใดส่วนน้ำอุปโภคบริโภคในสำนักงาน จะเป็นระบบประปาของการประปาส่วนภูมิภาค

โครงการอุดรโปแตซ จะเข้ามาแย่งน้ำในชุมชนหรือไม่ ?

โครงการจะขุดบ่อน้ำเพื่อเก็บกักน้ำใช้ในระบบ รวมทั้งการขุดร่องดักน้ำและคันดินรอบพื้นที่โรงงาน เพื่อให้น้ำฝน ที่ตกในโรงงานไหลลงสู่บ่อเก็บน้ำไม่ไหลออกไปภายนอกพื้นที่โครงการ และจะไม่มีการใช้น้ำจากหนองนาตาล หรือน้ำ บาดาลในกระบวนการผลิตแต่อย่างใดส่วนน้ำอุปโภคบริโภคในสำนักงาน จะเป็นระบบประปาของการประปาส่วนภูมิภาค

การขุดเจาะเหมืองแร่จะส่งแรงสั่นสะเทือนต่อบ้านเรือนหรือไม่ ?

ไม่สะเทือนเพราะการทำเหมืองใต้ดินอยู่ที่ความลึกประมาณ 350 เมตร ซึ่งเป็นความลึกของชั้นแร่ เป็นระดับ ความลึกมากพอที่ไม่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนต่อบ้านเรือน อีกทั้งโครงการยังเลือกใช้เครื่องจักรสำหรับขุดแร่แบบต่อ เนื่อง (Continuous Miner) ที่ออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของหน้างานโดยใช้หัวตัดแร่รูป ทรงกระบอกที่ติดตั้งด้วยใบมีดตัดแร่ซึ่งจะทำงาน โดยการหมุนและยกขึ้นลงในแนวดิ่งเท่านั้น จึงไม่เกิดแรงสั่นสะเทือน ภายในเหมืองใต้ดินอีกด้วย

สารเคมีที่ใช้ในโรงงานเป็นสารอันตรายหรือไม่ และจะปล่อยออกนอกโรงงานหรือไม่เมื่อใช้เสร็จ ?

สารเคมีที่ใช้ในกระบวนการลอยแร่ส่วนใหญ่สกัดมาจากพืชและสัตว์ มีความเข้มข้นต่ำมากดังนั้นจึงไม่มีความ เป็นพิษต่อมนุษย์แต่อย่างใด ยกเว้นกรดไฮโดรคลอริก อย่างไรก็ตามกรดไฮโดรคลอริกที่ใช้จะมี ปริมาณน้อยมากและ จะเปลี่ยนสภาพจากกรดไปเป็นเกลือในระหว่างกระบวนการแยกแร่ ทำให้ไม่มีอันตรายต่อ สุขภาพและพื้นที่โดยรอบ สารเคมีที่ใช้จะไม่มีการปล่อยออกนอกโรงงานเนื่องจากสารเคมีต่างๆ เหล่านี้ จะถูกย่อยสลายไปโดยความร้อน ระหว่าง กระบวนการผลิต

โครงการใช้วิธีใดในการทำเหมืองแร่ ?

วิธีการทำเหมืองของโครงการ เป็นการทำเหมืองใต้ดินแบบห้องสลับเสาค้ำยันโดยจะมีช่องทางเข้าสู่เหมืองใต้ดินเป็นอุโมงค์ลาดคู่ขนานโดยอุโมงค์หนึ่งใช้สำหรับงานบริการ การขนส่งพนักงานและวัสดุรวมทั้งการระบายอากาศเข้า ส่วนอุโมงค์สองจะใช้สำหรับการผลิตโดยจะติดตั้งระบบสาย พานลำเลียงแร่ที่ได้จากการขุด สายไฟฟ้าและสายโทรศัพท์ การขนวัสดุถมกลับและการระบายอากาศออก จากข้อมูล การศึกษาในส่วนของการทำเหมืองแร่โพแทชทั่วโลกที่มีลักษณะธรณีวิทยาแหล่งแร่คล้ายกับพื้นที่โครงการเหมืองแร่ โพแทชจังหวัดอุดรธานี จะใช้วิธีการทำเหมืองใต้ดินแบบห้องสลับเสาค้ำยัน เพราะเป็นวิธีการทำเหมืองแร่ที่มีประสิทธิ ภาพสามารถปรับเปลี่ยนการทำเหมือง ได้ตามสภาพธรณีวิทยาและสามารถควบคุมการทรุดของผิวดินได้ผลดีกว่าการ ทำเหมืองวิธีอื่นๆ

การทำเหมืองแร่จะส่งเสียงดังรบกวนชุมชนโดยรอบหรือไม่

โครงการได้มีการออกแบมาตรการในการป้องกันผลกระทบเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือน โดยจะมีการปิดกั้นพื้นที่ ก่อสร้างด้วยรั้วแผ่นพลาสติกหนาป้องกันเสียงหรือแผ่นสังกะสีทึบสูง 3 เมตร เพื่อลดระดับเสียงพร้อมกับการควบคุม การก่อสร้างฐานรากไม่ให้เกิดผลกระทบด้านเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนต่อชุมชนที่ใกล้เคียง กิจกรรมที่ก่อให้เกิดเสียงดัง และความสั่นสะเทือนนั้นจะถูกงดในช่วง เวลา 18.00 น. – 07.00 น. ด้วย ในส่วนของเครื่องจักรก่อสร้างหรือรถบรรทุก ต้องดูแลให้อยู่ในสภาพดีไม่เกิดเสียงดังและจำกัดความเร็วรถ ไม่เกิน 30 กม./ชม. และคนงานที่ทำงานในพื้นที่ที่มีเสียงดัง เกินกว่า 80 เดซิเบล(เอ) จะต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น ที่อุดหู (Ear Plug) หรือที่ครอบหู (Ear Muff)

ประโยชน์ของแร่โพแทช และความคุ้มค่าในการทำเหมือง ?

แร่โพแทชนำไปใช้ประโยชน์ในด้านใด

          ประโยชน์หลักๆ ของแร่โพแทช คือ ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นหนึ่งในสามส่วนผสมสำคัญในการผลิตปุ๋ยเคมี ซึ่งได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โดยปุ๋ยโพแทสเซียมมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มผลผลิตและป้องกันโรคให้แก่พืชผล

การทำเหมืองแร่โพแทช สำคัญอย่างไร

          ประเทศไทย เป็นประเทศเกษตรกรรมที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช โดยไม่สามารถใช้ปุ๋ยอื่นๆทดแทนได้ เนื่องจากปุ๋ยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและหน้าที่แตกต่างต่างกัน ในขณะที่ประเทศไทยมีการนำเข้าแร่โพแทชในแต่ละปีประมาณ 700,000 ตัน คิดเป็นจำนวนเงินที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียในแต่ละปี สูงถึงกว่า 9,000 ล้านบาท ดังนั้น หากประเทศไทยสามารถพัฒนาโครงการเหมืองแร่โพแทชได้สำเร็จ ราคาปุ๋ยเคมีก็มีแนวโน้มที่จะถูกลงจากเดิม เกษตรกรสามารถเข้าถึงปุ๋ยเคมีได้มากขึ้น ช่วยลดงบประมาณของประเทศจากการนำเข้าแร่โพแทชจากต่างประเทศและสร้างรายได้จากการส่งออกขายยังต่างประเทศ ปีละประมาณ 18,000 ล้านบาท

ประโยชน์ของแร่โปแตซนอกจากนำมาทำเป็นปุ๋ยแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง

          นอกจากแร่โพแทชจะเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปุ๋ยเคมีแล้ว ยังสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์บางประเภท เช่น การผลิตแก้ว ยา สบู่และเซรามิก เป็นต้น


โครงการอุดรโปแตซ มีปริมาณสำรองแร่มากแค่ไหน คุ้มค่ากับการทำเหมืองหรือไม่?
          จากการสำรวจแหล่งแร่โพแทชในพื้นที่โครงการฯ พบว่ามีปริมาณแร่สำรองประมาณ 267.79 ล้านตัน วางตัวในแนวค่อนข้างราบที่ความลึกจากผิวดิน เฉลี่ย ประมาณ 315 เมตร โดยมีความหนาของชั้นแร่เฉลี่ย 3.6 เมตร มีค่าคุณภาพแร่เฉลี่ยเท่ากับ 23.24 %K2O (เทียบเท่า 38.10 %KCl)
          แหล่งแร่โพแทชในจังหวัดอุดรธานีถือเป็นแหล่งแร่โพแทชคุณภาพสูง ซึ่งปริมาณแร่สำรองที่คาดว่าจะทำเหมืองได้คือ 100.51 ล้านตัน เมื่อทำการผลิตแร่แล้ว จะมีหัวแร่โพแทชประมาณ 36.37 ล้านตัน โดยมีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 2 ล้านตันต่อปี

ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ยาวนานแค่ไหน ?                                           
          การดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี จะแบ่งเป็น ระยะการก่อสร้างใช้เวลาประมาณ 2 ปี ระยะเวลาการทำเหมือง 21 ปี และระยะการปิดเหมืองและฟื้นฟูสภาพเหมือง 2 ปี รวมระยะเวลาในการดำเนินการทั้งหมด 25 ปี

มาตรการป้องกันดินทรุดของโครงการ เป็นอย่างไร ?

โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาดินทรุดจากการทำเหมืองใต้ดินมีมากน้อยแค่ไหน ?
โครงการได้ออกแบบการทำเหมืองใต้ดิน เป็นแบบห้องสลับเสาค้ำยันทำให้เหมืองใต้ดินมีเสถียรภาพ มีการเสริม ความมั่นคงแข็งแรงบริเวณเพดานของห้องเหมืองด้วยเหล็กยึดหิน มีการนำหางแร่มาถมกลับในช่องว่างทำให้เหมืองมีความ แข็งแรงมั่นคงมากยิ่งขึ้นรวมทั้งมีประสิทธิภาพในการควบคุมการทรุดตัวของผิวดินให้อยู่ในระดับที่ไม่เกิดอันตรายต่อระบบ สาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้าง บ้านเรือนของประชาชนและไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน แหล่งน้ำ ทั้งน้ำ ผิวดินและน้ำใต้ดิน

เมื่อนำหางแร่ลงไปถมกลับในช่องว่างภายในเหมืองใต้ดินแล้ว จะมีความแข็งแรง และรองรับน้ำหนักชั้นดินด้านบนเหมือนชั้นดินเดิมหรือไม่ ?
เหมือนเดิม การออกแบบการทำเหมืองใต้ดินแบบห้องสลับเสาค้ำยัน โครงสร้างหลักที่รับน้ำหนักกดทับในแนวดิ่ง ของชั้นดินด้านบนคือเสาค้ำยันร่วมกันกับคานเพดานห้องผลิตแร่ โดยใช้หลักการคำนวณโมเดลทางคณิตศาสตร์ในเรื่อง ของแรงและการรับน้ำหนักสูงสุดไว้แล้ว ในการนำหางแร่เข้าไปถมกลับในอุโมงค์การผลิตแร่ใต้ดิน ในอัตรา 90% ของช่อง ว่างของห้องผลิตแร่เป็นมาตรการเสริมเพื่อช่วยชะลอและหยุดการทรุดตัวในแนวดิ่ง ทั้งนี้เมื่อหางแร่ถมกลับได้มีการ ระบายน้ำเกลือออกไปแล้ว จะเกิดการเกาะตัวแน่นโดยการตกผลึกใหม่เป็นเนื้อเดียวกัน ทำหน้าที่เป็นแรงต้านตามแนว แกนนอนของเสาค้ำยันเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่เสาค้ำยัน ช่วยชะลอและหยุดการทรุดตัวเมื่อแรงต้านในเสาค้ำยัน ได้พัฒนาจนเข้าสู่ความสมดุลย์ของแรงในที่สุด

บริษัทจะใช้ถมกลับหางแร่ตอนไหน จะถมกลับหมดไหมหรือหากทำเหมืองเสร็จแล้วจะกองให้เป็นภาระของชาวบ้าน ?
บริษัทจะเริ่มถมกลับหางแร่ในปีที่ 5 ถึงปีที่ 22 หลังจากเริ่มทำเหมือง โดยจะถมกลับไปในช่องว่างใต้ดินจนหมด

จริงหรือไม่ว่า ถ้ามีการทำเหมืองแร่ใต้ดินจะทำให้เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ตามมา สร้างความเสียหายให้กับชุมชน บ้านเรือน อาคาร สถานที่ต่างๆ ที่อยู่บนผิวดิน  ? 
ไม่จริง การเกิดหลุมยุบแบบในต่างประเทศ เกิดจากปัจจัยหลายส่วนประกอบกัน ทั้งปัญหาด้านธรณีวิทยาของ แนวรอยเลื่อนของหินจากแผ่นดินไหวความหนาของชั้นหินทึบน้ำร่วมกันกับสภาวะอุทกธรณีวิทยาของชั้นน้ำบาดาล การ ออกแบบแผนผังโครงการทำเหมืองใต้ดินของโครงการเหมืองโพแทชจังหวัดอุดรธานี ได้มีการสำรวจตรวจสอบลักษณะ ของธรณีวิทยาว่าปลอดจากแนวรอยเลื่อนต่างๆ ไม่อยู่ในเขตอิทธิพลของแผ่นดินไหว ชั้นหินทึบน้ำมีความหนามาก ใต้ ระดับของชั้นน้ำบาดาล การออกแบบระบบโครงสร้างของเสาค้ำยันและคานห้องการผลิตก็มีความแข็งแรงปลอดภัย และ ได้ควบคุมระดับของการทรุดตัวให้อยู่ในระดับต่ำไม่เป็นอันตรายต่อการเคลื่อนตัวทางดิ่ง ผนวกร่วมกับการถมกลับของ หางแร่ ความเสี่ยงในการเกิดหลุมยุบจึงได้รับคำนึงถึงและวางแผนป้องกันไว้อย่างรอบคอบอยู่แล้ว

มีมาตรการติดตามตรวจสอบการทรุดตัวของผิวดินอย่างไร ?

เนื่องจากหินมีคุณสมบัติยืดหยุ่น (Rock Elasticity) ประกอบกับการออกแบบของเสาหินและห้องสลับเสาหินแบบยึดความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้โครงสร้างหินในโครงการเกิดการทรุดตัวได้โดยไม่แตกหักแม้จะมีการทรุดตัวของพื้นดิน 40-60 เซนติเมตร โดยจะทำให้ไม่เกิดผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ต่อสิ่งปลูกสร้างพื้นดินและการทรุดตัวของพื้นดินไม่ได้เกิดทันทีทันใดแต่ค่อยๆ เกิดทีละน้อยตามสภาพการเดินของหน้าเหมือง แต่ในการทำเหมืองจริงเมื่อดำเนินไปจนถึงปีที่ 25 การทรุดตัวของพื้นดินจะเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ตามรูปที่ 1.1-4 และรูป 1.1-5 เนื่องจากโครงการได้กำหนดค่าเพื่อการออกแบบเหมืองใต้ดินเพื่อควบคุมให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดินได้สูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ซึ่งระดับการทรุดตัวของพื้นดินดังกล่าวนี้จะไม่ส่งผลให้โครงสร้างหินเกิดการแตกหักอย่างแน่นอน

 

          การทรุดตัวของพื้นดินเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากการแตกหักของหิน แต่เป็นการแอ่นตัวของหินตามน้ำหนักหินชั้นบนที่กดทับชั้นแร่ซิลวิไนต์ชั้นล่างที่โครงการได้ทำแร่ออกไป โดยเหลือเสาหินไว้ค้ำยันโครงสร้าง การแอ่นตัวหรือทรุดตัวนี้ไม่ได้เกิดอย่างทันทีทันใด แต่เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยตลอดระยะเวลาในการทำเหมืองใต้ดินจะเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร คือการยุบสะสมเมื่อถึงปีที่ 25 หลังจากการทำเหมืองแล้ว จึงไม่ทำให้อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ไม่ทำให้น้ำในห้วยหนองคลองบึงต้องเปลี่ยนทิศทางการไหลแต่อย่างใด เพื่อให้ล่วงรู้ได้ว่าความทรุดตัวจะเกิดเมื่อใด โครงการได้วางแผนติดตั้งเครื่องมือดังต่อไปนี้คือ

 

  1. เครื่องมือวัดการทรุดตัวที่ผิวดิน (Piezometer) ใช้วัดระดับน้ำและวัดความดันจากความสูงของน้ำผิวดินระดับตื้น โดยโครงการมีบ่อสำรวจน้ำตื้นในบริเวณโครงการอยู่ (observation well) เป็นโครงข่าย ที่ได้บันทึกค่าความสูงของน้ำในบ่อไว้ทุกๆ เดือน น้ำอาจจะมีระดับสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตาม ฤดูกาล แต่ถ้าน้ำหายไปไม่มีเลยจะทำให้บ่งชี้ว่าโครงสร้างหินด้านล่างหินเกิดการทรุดตัวจนแตกหัก ทำให้น้ำผิวดินซึมหายไปได้
  2. เครื่องมือวัดความเอียงของผิวดิน (Inclinometer) ณ.จุดที่ตั้งเครื่องมือนั้นๆ เครื่องมือนี้จะวางบนแท่นคอนกรีตที่ทำไว้ให้อยู่ในแนวราบก่อนการทำเหมือง เครื่องจะอ่านค่าได้มุม 90 องศาสำหรับแนวดิ่ง และ 0 องศาสำหรับแนวราบ หากทำเหมืองไปแล้วพื้นดินมีการยุบตัวเกิดความเอียง เครื่องจะอ่านเป็นมุมอื่น ทำให้ทราบได้ว่าพื้นดินมีการยุบตัวแล้ว
  3. เครื่องมือวัดความทรุดตัวของเพดาน (Extensometer) ในเหมืองใต้ดิน หากทำเหมืองแล้ว โครงการจะติดตั้งเครื่องมือนี้ไว้ในเหมืองใต้ดิน ได้แก่ Extensometer ใช้วัดการเคลื่อนตัวของผนังอุโมงค์ หรือเพดานห้องที่ได้นำแร่ออกไปแล้ว ว่าเคลื่อนตัวเท่าไร ในแต่ละช่วงเวลาที่ทำการบันทึกค่า เหมืองทุกแห่งไม่ว่าเหมืองบนดินหรือใต้ดิน หากมีการทำเหมืองเอาแร่ออกไปแล้ว ที่ว่างอันเกิดจากการนำแร่ออกไปจะได้รับแรงกดดันจากหินรอบข้าง ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวไม่มากก็น้อย คล้ายกับการเดินบนสะพานข้ามคลอง แม้สะพานจะแข็งแรงหรือคนข้ามจะมีน้ำหนักน้อย สะพานนั้นก็ต้องแอ่นตัวอยู่ดี
  4. เครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนของดิน (Micro seismic Detector ) Micro seismic Detector เป็นเครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนของโครงสร้างหิน เมื่อหินนั้นมีความขัดตัวกันหรือมีความเคลื่อนตัวที่ไม่เท่ากัน จะเกิดคลื่นความสั่นสะเทือนขึ้น ธรรมดาแล้วคลื่นไซสมิคส์ (seismic) เกิดจากแผ่นดินไหว แต่คลื่นไซสมิคส์ขนาดเล็ก (micro seismic) เกิดจากกิจกรรมของการทำเหมือง เครื่องมือนี้จะถูกติดตั้งโดยใส่ในหลุมเจาะ เมื่อเกิดคลื่น seismic อุปกรณ์จะบันทึกข้อมูลไว้เพื่อแปลความหมายต่อไป

 

  เครื่องมือที่โครงการฯ จะติดตั้งเพื่อวัดความทรุดตัวดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น โครงการฯจะติดตั้ง โดยตรวจวัดบริเวณพื้นที่ทำเหมืองของโครงการ และชุมชนโดยรอบทุกเดือนตลอดระยะเวลาเตรียมการ และระยะดำเนินการ ตลอดจนสิ้นสุดอายุประทานบัตร จำนวน 16 หลุม

 สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือแผนที่ทางโครงการได้กำหนดไว้ เพื่อรับรู้การทรุดตัวของโครงสร้างหินในเหมืองใต้ดินและเพื่อรับรู้การทรุดตัวของพื้นผิวดินข้างบนเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ทราบระดับการทรุดตัวของพื้นดินซึ่งวิธีการวัดระดับการทรุดตัวของพื้นดิน ประกอบด้วย

1) การรังวัดค่าระดับพื้นที่เดิมด้วยกล้องวัดมุม( Theodolite Total Station)

2) การสร้างหมุดหลักฐาน (BM bench mark) โดยใช้หมุดอ้างอิงของทางราชการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ทรุดตัว

3) การกำหนดพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องรังวัดค่าระดับ

 พื้นที่ที่ต้องรังวัดค่าระดับไว้ก่อนทำเหมืองได้แก่ พื้นที่ในเขตประทานบัตรทั้งหมดทั้งที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวและไม่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวดังนี้ (รูปที่ 1.1-12) โดยทำการวัดค่าระดับคือวัดปีละ 1 ครั้ง
 พื้นที่ที่ต้องรังวัดได้แก่พื้นที่ที่โครงการได้กำหนดไว้เดิม 16 ตำแหน่ง และการศึกษาครั้งนี้ขอเสนอเพิ่มอีก 33 จุด รวมเป็น 49 จุด
 จุดที่จะทำการวัดในพื้นที่ต่างๆจะต้องหล่อคอนกรีตไว้เป็นรูปคล้ายกับหมุดหลักฐาน และการวัดทุกครั้งจะต้องทำการวัดที่จุดเดิมเสมอ

 การทำการรังวัดและการบันทึกข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับการทรุดตัวตามแผนของโครงการ เป็นหน้าที่ของช่างรังวัดของสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 2 (อุดรธานี) ที่ต้องทำงานร่วมกับคณะผู้ทำการตรวจสอบตาม พรบ. เหมืองแร่ใต้ดิน พ.ศ.2545 เหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ที่จะต้องจัดให้มีในการทำเหมือง

มีมาตรการป้องกันการรั่วไหลของน้ำเกลืออย่างไร ?

โครงการอุดรโปแตซ มีการออกแบบให้พื้นล่างของพื้นที่กองหางแร่ และบ่อน้ำเกลือ มีการบดอัดดินเหนียวหนาเป็นฐานเพื่อป้องกันน้ำเกลือซึมลงใต้ดิน ส่วนด้านบนของชั้นดินเหนียวดังกล่าวมีการปูพลาสติกอย่างหนาสองชั้น โดยเว้นช่องระหว่างชั้นทั้ง 2 เพื่อบรรจุกรวดทราย และท่อระบายน้ำรวมทั้งอุปกรณ์ตรวจสอบการรั่วซึม และเครื่องสูบน้ำเกลือส่วนที่อาจจะรั่วออกมาไปสู่บ่อน้ำเกลือข้างกองหางแร่ โดยน้ำเกลือจากกองหางแร่จะถูกนำมาหมุนเวียนใช้ในการแต่งแร่ ซึ่งจะระเหยหมดไปกับการอบหัวแร่ หรือจากความร้อนจากการต้มน้ำในโรงงานจึงไม่เหลือน้ำเกลือที่มาจากกองหางแร่ นอกจากนี้ โครงการมีการป้องกันความเสี่ยงเพิ่มเติมด้วยการขุดบ่อน้ำเกลือสำรองเตรียมไว้พร้อมที่จะเก็บน้ำเกลือที่ไหลจากกองหางแร่ ที่อาจมีเพิ่มขึ้นเนื่องจากฝนตกหนักเมื่อเกิดพายุฝน

มีการจัดการกองหางแร่อย่างไร ?

1) มีพื้นที่มากกว่า 146 ไร่ เพื่อกองหางแร่ มากพอรองรับปริมาณกองหางแร่สะสมที่มากถึง 3,100,000 ลบ.ม.
2) ในการเตรียมพื้นที่กองแร่ มีการบดอัดพื้นเดิม 60 เซนติเมตร เพื่อป้องกันทรุดตัว มีการบดอัดดินเหนียว 100 เซนติเมตร เพื่อป้องกันการรั่วซึมของน้ำเกลือ มีการปูแผ่นพลาสติกความหนาแน่นสูง (HDPE) หนา 2.5 มิลลิเมตร สลับกับกรวดทรายหนา 50 เซนติเมตร 2 ชั้น มีร่องระบายน้ำลงบ่อน้ำเกลือ จึงมั่นใจได้ว่าพื้นกองแร่ไม่ทรุดตัว
3) วิธีการกองหางแร่ กำหนดให้วางกองเป็นขั้นบันได สูงขั้นละ 4.5 เมตร สูงทั้งหมดไม่เกิน 27 เมตร มีความเอียงไม่เกิน 26 องศา น้อยกว่ามุมกองตัว (angle of repose) ที่ 37 องศา ประกอบกับหางแร่ที่มีเกลือ (NaCl) เป็นส่วนใหญ่เปียกน้ำเวลากองด้วย ทำให้ผิวเม็ดเกลือหางแร่ละลายยึดติดเข้าด้วยกัน ตามอิทธิพลของน้ำ กองหางแร่จึงมีเสถียรภาพมาก ไม่พังทลายไปได้
4) โครงการมีระบบตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำเกลือด้วยการไหลของน้ำเกลือที่ผ่านท่อพลาสติก (PE) เข้าไปเก็บที่บ่อเก็บน้ำเกลือ หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็ทราบได้ว่า แผ่นพลาสติกความหนาแน่นสูง (HDPE) รั่วที่จุดใดซึ่งสามารถแก้ไขได้ โดยย้ายกองเกลือถ้ายังมีเกลือน้อย หรือทำกำแพงใต้ดิน (Slurry wall) หรือถ้ายังรั่วได้อีกก็ดำเนินการฉีดอัดซีเมนต์ (Cement Grout)
5) สำหรับเรื่องฝุ่นเกลือที่จะฟุ้งกระจายไปนั้น เมื่อน้ำหรือความชื้นทำให้ผิวของเม็ดเกลือละลายติดกันแล้ว ก็เป็นอันว่ากองหางแร่ไม่มีโอกาสเกิดฝุ่นได้เลย
6) อนึ่งเกลือแกงที่เปียกน้ำนี้จะถูกลำเลียงด้วยสายพานที่ปิดมิดชิดทุกด้าน มายังกองหางแร่ ที่มีรถตักล้อยางไว้คอยจัดการย้ายเกลือ หรือกระจายเกลือไปไปยังจุดที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความแข็งแรงในการตั้งกองหางแร่ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าเมื่อเกลือได้มาเก็บไว้ที่กองหางแร่แล้วก็จะมีสภาพเปียกตลอดเวลาไม่เกิดฝุ่น

มีมาตรการป้องกันผลกระทบจากฝุ่นเกลืออย่างไร ?

การลำเลียงหางแร่จากโรงงานไปเก็บในพื้นที่กองหางแร่นั้น หางแร่จะอยู่ในลักษณะเปียกชื้น จึงไม่มีฝุ่นละออง จากนั้นเมื่อหางแร่แห้งจะจับตัวเป็นก้อนแข็งไม่เกิดเป็นฝุ่น ส่วนขั้นตอนการผลิตที่อาจเกิดฝุ่น โครงการอุดรโปแตซ ก็ได้มีมาตรการป้องกันไว้แล้ว เช่น สายพานลำเลียงก็จะมีการปกคลุมอย่างมิดชิด ปล่องระบายและเครื่องจักรจะมีการติดตั้งระบบดักกรองฝุ่น พื้นที่รอบโครงการฯ ก็มีการปลูกต้นไม้เพื่อเป็นแนวกันฝุ่นอีกชั้นหนึ่ง

มีมาตรการติดตามตรวจสอบการทรุดตัวของผิวดินอย่างไร ?

เนื่องจากหินมีคุณสมบัติยืดหยุ่น (Rock Elasticity) ประกอบกับการออกแบบของเสาหินและห้องสลับเสาหินแบบยึดความปลอดภัยเป็นหลัก ทำให้โครงสร้างหินในโครงการเกิดการทรุดตัวได้โดยไม่แตกหักแม้จะมีการทรุดตัวของพื้นดิน 40-60 เซนติเมตร โดยจะทำให้ไม่เกิดผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ต่อสิ่งปลูกสร้างพื้นดินและการทรุดตัวของพื้นดินไม่ได้เกิดทันทีทันใดแต่ค่อยๆ เกิดทีละน้อยตามสภาพการเดินของหน้าเหมือง แต่ในการทำเหมืองจริงเมื่อดำเนินไปจนถึงปีที่ 25 การทรุดตัวของพื้นดินจะเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ตามรูปที่ 1.1-4 และรูป 1.1-5 เนื่องจากโครงการได้กำหนดค่าเพื่อการออกแบบเหมืองใต้ดินเพื่อควบคุมให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดินได้สูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ซึ่งระดับการทรุดตัวของพื้นดินดังกล่าวนี้จะไม่ส่งผลให้โครงสร้างหินเกิดการแตกหักอย่างแน่นอน
การทรุดตัวของพื้นดินเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร ดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากการแตกหักของหิน แต่เป็นการแอ่นตัวของหินตามน้ำหนักหินชั้นบนที่กดทับชั้นแร่ซิลวิไนต์ชั้นล่างที่โครงการได้ทำแร่ออกไป โดยเหลือเสาหินไว้ค้ำยันโครงสร้าง การแอ่นตัวหรือทรุดตัวนี้ไม่ได้เกิดอย่างทันทีทันใด แต่เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยตลอดระยะเวลาในการทำเหมืองใต้ดินจะเกิดขึ้นสูงสุดไม่เกิน 40 เซนติเมตร คือการยุบสะสมเมื่อถึงปีที่ 25 หลังจากการทำเหมืองแล้ว จึงไม่ทำให้อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ไม่ทำให้น้ำในห้วยหนองคลองบึงต้องเปลี่ยนทิศทางการไหลแต่อย่างใด เพื่อให้ล่วงรู้ได้ว่าความทรุดตัวจะเกิดเมื่อใด โครงการได้วางแผนติดตั้งเครื่องมือดังต่อไปนี้คือ
1. เครื่องมือวัดการทรุดตัวที่ผิวดิน (Piezometer) ใช้วัดระดับน้ำและวัดความดันจากความสูงของน้ำผิวดินระดับตื้น โดยโครงการมีบ่อสำรวจน้ำตื้นในบริเวณโครงการอยู่ (observation well) เป็นโครงข่าย ที่ได้บันทึกค่าความสูงของน้ำในบ่อไว้ทุกๆ เดือน น้ำอาจจะมีระดับสูงขึ้นหรือต่ำลงได้ตาม ฤดูกาล แต่ถ้าน้ำหายไปไม่มีเลยจะทำให้บ่งชี้ว่าโครงสร้างหินด้านล่างหินเกิดการทรุดตัวจนแตกหัก ทำให้น้ำผิวดินซึมหายไปได้
2. เครื่องมือวัดความเอียงของผิวดิน (Inclinometer) ณ.จุดที่ตั้งเครื่องมือนั้นๆ เครื่องมือนี้จะวางบนแท่นคอนกรีตที่ทำไว้ให้อยู่ในแนวราบก่อนการทำเหมือง เครื่องจะอ่านค่าได้มุม 90 องศาสำหรับแนวดิ่ง และ 0 องศาสำหรับแนวราบ หากทำเหมืองไปแล้วพื้นดินมีการยุบตัวเกิดความเอียง เครื่องจะอ่านเป็นมุมอื่น ทำให้ทราบได้ว่าพื้นดินมีการยุบตัวแล้ว
3. เครื่องมือวัดความทรุดตัวของเพดาน (Extensometer) ในเหมืองใต้ดิน หากทำเหมืองแล้ว โครงการจะติดตั้งเครื่องมือนี้ไว้ในเหมืองใต้ดิน ได้แก่ Extensometer ใช้วัดการเคลื่อนตัวของผนังอุโมงค์ หรือเพดานห้องที่ได้นำแร่ออกไปแล้ว ว่าเคลื่อนตัวเท่าไร ในแต่ละช่วงเวลาที่ทำการบันทึกค่า เหมืองทุกแห่งไม่ว่าเหมืองบนดินหรือใต้ดิน หากมีการทำเหมืองเอาแร่ออกไปแล้ว ที่ว่างอันเกิดจากการนำแร่ออกไปจะได้รับแรงกดดันจากหินรอบข้าง ทำให้เกิดการเคลื่อนตัวไม่มากก็น้อย คล้ายกับการเดินบนสะพานข้ามคลอง แม้สะพานจะแข็งแรงหรือคนข้ามจะมีน้ำหนักน้อย สะพานนั้นก็ต้องแอ่นตัวอยู่ดี
4. เครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนของดิน (Micro seismic Detector ) Micro seismic Detector เป็นเครื่องมือวัดความสั่นสะเทือนของโครงสร้างหิน เมื่อหินนั้นมีความขัดตัวกันหรือมีความเคลื่อนตัวที่ไม่เท่ากัน จะเกิดคลื่นความสั่นสะเทือนขึ้น ธรรมดาแล้วคลื่นไซสมิคส์ (seismic) เกิดจากแผ่นดินไหว แต่คลื่นไซสมิคส์ขนาดเล็ก (micro seismic) เกิดจากกิจกรรมของการทำเหมือง เครื่องมือนี้จะถูกติดตั้งโดยใส่ในหลุมเจาะ เมื่อเกิดคลื่น seismic อุปกรณ์จะบันทึกข้อมูลไว้เพื่อแปลความหมายต่อไป
เครื่องมือที่โครงการฯ จะติดตั้งเพื่อวัดความทรุดตัวดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น โครงการฯจะติดตั้ง โดยตรวจวัดบริเวณพื้นที่ทำเหมืองของโครงการ และชุมชนโดยรอบทุกเดือนตลอดระยะเวลาเตรียมการ และระยะดำเนินการ ตลอดจนสิ้นสุดอายุประทานบัตร จำนวน 16 หลุม
สิ่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือแผนที่ทางโครงการได้กำหนดไว้ เพื่อรับรู้การทรุดตัวของโครงสร้างหินในเหมืองใต้ดินและเพื่อรับรู้การทรุดตัวของพื้นผิวดินข้างบนเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ทราบระดับการทรุดตัวของพื้นดินซึ่งวิธีการวัดระดับการทรุดตัวของพื้นดิน ประกอบด้วย
1) การรังวัดค่าระดับพื้นที่เดิมด้วยกล้องวัดมุม( Theodolite Total Station)
2) การสร้างหมุดหลักฐาน (BM bench mark) โดยใช้หมุดอ้างอิงของทางราชการ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ทรุดตัว
3) การกำหนดพื้นที่ต่างๆ ที่ต้องรังวัดค่าระดับ
  • พื้นที่ที่ต้องรังวัดค่าระดับไว้ก่อนทำเหมืองได้แก่ พื้นที่ในเขตประทานบัตรทั้งหมดทั้งที่จะได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวและไม่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวดังนี้ (รูปที่ 1.1-12) โดยทำการวัดค่าระดับคือวัดปีละ 1 ครั้ง
  • พื้นที่ที่ต้องรังวัดได้แก่พื้นที่ที่โครงการได้กำหนดไว้เดิม 16 ตำแหน่ง และการศึกษาครั้งนี้ขอเสนอเพิ่มอีก 33 จุด รวมเป็น 49 จุด
  • จุดที่จะทำการวัดในพื้นที่ต่างๆจะต้องหล่อคอนกรีตไว้เป็นรูปคล้ายกับหมุดหลักฐาน และการวัดทุกครั้งจะต้องทำการวัดที่จุดเดิมเสมอ
  • การทำการรังวัดและการบันทึกข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับการทรุดตัวตามแผนของโครงการ เป็นหน้าที่ของช่างรังวัดของสำนักงานอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เขต 2 (อุดรธานี) ที่ต้องทำงานร่วมกับคณะผู้ทำการตรวจสอบตาม พรบ. เหมืองแร่ใต้ดิน พ.ศ.2545 เหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี ที่จะต้องจัดให้มีในการทำเหมือง

แพลงก์ตอนคืออะไร แล้วทำไมทางโครงการต้องเก็บแพลงก์ตอนด้วย?

แพลงก์ตอนคืออะไร แล้วทำไมทางโครงการต้องเก็บแพลงก์ตอนด้วย?

แพลงก์ตอนคือสิ่งมีชีวิตที่ล่องลอยอยู่ในมวลน้ำ แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มคือ แพลงก์ตอนพืชและแพลงก์ตอนสัตว์ ซึ่งทั้งสองกลุ่มมีส่วนสำคัญในการเป็นแหล่งอาหารของสัตว์น้ำ มีบทบาทหลักในการเป็นผู้ผลิตเบื้องต้น ของห่วงโซ่อาหาร และเป็นอาหารของแพลงก์ตอนสัตว์ จากนั้นแพลงก์ตอนสัตว์ก็จะถูกกินด้วยสัตว์น้ำวัยอ่อน ตามด้วยสัตว์น้ำอื่นๆ ต่อกันไปเรื่อยๆ จนถึงมนุษย์
ปัจจัยสิ่งแวดล้อมทุกด้านจึงมีความสำคัญในการกำหนดชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งมนุษย์เองก็มีอิทธิพลอย่างมากในการเข้าไปเปลี่ยนแปลงความสมดุลของห่วงโซ่อันนี้ในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือการทิ้งของเสียลงแหล่งน้ำ ทั้งจากชุมชนหรือจากแหล่งอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณสมบัติของน้ำมีการเปลี่ยนแปลงจนทำให้องค์ประกอบของชนิดและปริมาณแพลงก์ตอนมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจะส่งผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในห่วงโซ่อาหาร
ด้วยเหตุนี้การตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมจึงต้องมีการเก็บแพลงก์ตอนด้วย  ซึ่งทางโครงการได้มีการเก็บตัวอย่างแพลงก์ตอนจากแหล่งน้ำผิวดินในบริเวณพื้นที่โครงการและรอบนอกรวมทั้งหมด 8 จุด ได้แก่ หนองนาตาล  ห้วยหิน  หนองกุง  หนองอีทุย  ห้วยน้ำเค็ม ห้วยวังแสง  ห้วยบ้านโคกกลางและห้วยหมากบ้า เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเหมืองจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

หากปิดเหมืองแล้วชาวบ้านจะสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่โรงงานได้หรือไม่ ?

เมื่อสิ้นสุดการทำเหมือง (ปิดเหมือง) ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ในบริเวณพื้นที่โรงงานได้ เนื่องด้วยการปิดเหมืองนั้นโครงการจะไม่ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด แต่จะทำการปิดปากอุโมงค์ รื้อถอนโครงสร้างบนผิวดิน เศษวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้รวมถึงการปรับถมพื้นที่ที่เป็นบ่อ หรือมีระดับพื้นผิวต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ เช่น บ่อน้ำเกลือ เพื่อให้พื้นที่มีระดับสูง-ต่ำ ใกล้เคียงกับระดับพื้นที่เดิมก่อนที่จะมีโครงการ และจะเหลืออาคารสำนักงาน ถนน สายไฟ ป้อมยาม ซึ่งชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ต่อได้ รวมถึงบ่อเก็บน้ำฝนทั้ง 5 บ่อ เพื่อเป็นบ่อเก็บน้ำสำรองของชุมชน
นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงภูมิทัศน์ด้วยการปลูกพืชคลุมดิน ปลูกไม้พุ่ม และไม้ยืนต้น รวมพื้นที่ประมาณ 409 ไร่ โดยส่วนหนึ่งใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ รวมถึงสถานที่ออกกำลังกายของชาวบ้านและประชาชนบริเวณใกล้เคียง

โครงการอุดรโปแตซมีมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างไร ?

1.โครงการได้ออกแบบให้มีคันดินสูง 3 เมตร ล้อมรอบโครงการ บ่อน้ำจืดและบ่อน้ำเค็ม อีกทั้งยังมีคันดินสูง 5 เมตร ล้อมรอบกองหางแร่และเมื่อพิจารณาสภาพภูมิประเทศ บริเวณพื้นที่โครงการที่มีระดับความสูงกว่าน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ 200-210 เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับพื้นที่ใกล้เคียงที่มีความสูงกว่าน้ำทะเลปานกลาง ประมาณ  175-180  เมตร ดังนั้น โอกาสที่น้ำจะท่วมพื้นที่โรงงานจึงเป็นไปได้น้อยมาก

 

2. โครงการได้ออกแบบขนาดของบ่อและพื้นที่รับน้ำโดยใช้ข้อมูลสถิติปริมาณฝนตกสูงสุดในรอบ 60 ปีต่อวัน รวมถึงการคำนวณหาปริมาณฝนสูงสุดในรอบ 500 ปี ทำให้โครงการสามารถรองรับปริมาณฝนตกสูงสุดต่อเนื่องได้ 3วัน (ซึ่งไม่เคยมีในสถิติ)

 

3.โครงการได้ออกแบบให้มีบ่อฉุกเฉินไว้ในกรณีฝนตกหนักซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 13.75 ไร่ ขนาดบ่อกว้าง 90 เมตร และความยาว 245 เมตร ลึก 3 เมตร คันดินรอบบ่อสูง 3 เมตรสามารถกักเก็บน้ำฝนหรือน้ำเกลือได้ปริมาณ 132,300 ลูกบาศก์เมตร

การรับค่าลอดใต้ถุนทำไมต้องเอาโฉนดให้บริษัทฯด้วย บริษัทจะเอาไปโอนต่อหรือไม่?

ผู้ที่ประสงค์รับค่าตอบแทนพิเศษให้แก่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินในพื้นที่ประทานบัตรหรือค่าลอดใต้ถุนนั้นจะต้องนำเอกสารมายื่นกับบริษัทฯได้แก่ สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาบัตรประชาชน เพื่อบริษัทจะนำข้อมูลดังกล่าวไปตรวจสอบความถูกต้อง เช่น ที่ดินที่ยื่นตรวจสอบนั้นอยู่ในพื้นที่ประทานบัตรหรือไม่ ที่ดินอยู่ในพื้นที่ฯขนาดเท่าไหร่ ก่อนที่จะจ่ายค่าตอบแทนตามเงื่อนไขของกองทุน

บริษัทฯไม่สามารถนำโฉนดไปดำเนินการโอนต่อให้เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นได้อย่างแน่นอนและเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มายื่นรับค่าลอดใต้ถุนแล้วสามารถโอนหรือขายที่ดินได้ตามปกติโดยไม่ต้องนำเงินมาคืนบริษัทฯและไม่ติดเงื่อนไขแต่อย่างใด

บริษัทได้ดำเนินการจ่ายค่าลอดใต้ถุนมาแล้ว 6 ครั้ง ซึ่งได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากชาวบ้านในพื้นที่

ไอเกลือจากบ่อน้ำเกลือจะทำให้หลังคาผุพังเร็วเหมือนบ้านอยู่ริมทะเลหรือไม่ ?

1.ในสภาวะปกติหรือสภาวะที่เราอาศัยอยู่นั้น การระเหยของน้ำเกลือจะไม่มีเกลือผสมอยู่จะมีแค่น้ำเท่านั้นที่ระเหย ซึ่งจะเหมือนการระเหยจากห้วยหนองคลองบึงทั่วไป

2.กรณีพื้นที่ใกล้ทะเลนั้นจะมีละอองน้ำจากคลื่นและลมที่แรง ซึ่งลมพัดหอบเอาละอองน้ำเล็กๆ นี้พัดไปด้วย เมื่อละอองน้ำแห้งจะกลายเป็นฝุ่นขนาดเล็กมาสัมผัสกับตัวเราทำให้รู้สึกเหนียวตัว และทำให้สังกะสีผุได้เร็วกว่าพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ทะเล

3.ในพื้นที่โครงการมีบ่อน้ำเกลือจำนวน 2 บ่อ ซึ่งไม่มีลมที่จะมีผลกระทบต่อพื้นผิว อีกทั้งยังมีหลังคาคลุมบ่อรวมถึงคันดินสูง 3 เมตรล้อมรอบ จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเกิดไอเกลือจากบ่อน้ำเกลือของพื้นที่โครงการ

หากชาวบ้านได้รับผลกระทบจากเหมืองจะร้องเรียนกับใคร อย่างไร ?

ช่องทางการรับข้อร้องเรียนมีดังนี้ 

1. ผู้ร้องเรียนสามารถแจ้งข้อร้องเรียนหรือยื่นหนังสือร้องเรียนได้ที่ผู้จัดการโครงการ บริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยตรง นอกจากนี้ บริษัทได้ติดตั้งกล่องรับฟังความคิดเห็นไว้ที่ด้านหน้าสำนักงานบริษัทฯ ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาลตำบล สำนักงานองค์การบริหารส่วนตำบล และที่ทำการกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อรับข้อร้องเรียนจากประชาชนอีกช่องทางหนึ่ง
2. ร้องเรียนได้ที่ ผู้อำนวยการฝ่ายเหมือง หมู่ที่ 4 ตำบลหนองไผ่ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยตรง
3. ร้องเรียนผ่านช่องรับความคิดเห็นด้านหน้าสำนักงานเหมือง ที่ว่าการอำเภอเมือง และอำเภอประจักษ์ศิลปาคม สำนักงานเทศบาลตำบลหนองไผ่ สำนักงานเทศบาลตำบลหนองขอนกว้างและสำนักงานเทศบาลเมืองโนนสูง-น้ำคำ องค์การบริหารส่วนตำบลโนนสูง ตำบลห้วยสามพาด และตำบลนาม่วง และที่ทำการกำนันตำบลหนองไผ่ ตำบลโนนสูง ตำบลหนองขอนกว้าง ตำบลห้วยสามพาด และตำบลนาม่วง
กลไกการดำเนินงานเกี่ยวกับข้อร้องเรียน
     เมื่อคณะกรรมการชุมชนสัมพันธ์ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชน จะต้องดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง ในขั้นตอนนี้จะต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบและวางแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับผู้ร้องเรียนด้วยความเป็นธรรม ซึ่งคณะกรรมการชุมชนสัมพันธ์จะต้องรีบดำเนินการตรวจสอบข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน นับตั้งแต่ได้รับเรื่องร้องเรียน
 
การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกลไกข้อร้องเรียน
      บริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะต้องประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินการ กรณีมีข้อร้องเรียนต่อโครงการ ช่องทางการติดต่อกับคณะกรรมการฯ ตลอดจนกลไกการดำเนินการ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ และสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น

หากเกิดแผ่นดินไหวจะกระทบกับโครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรหรือไม่ ?

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าแผ่นดินไหวเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุหลักๆตามธรรมชาติ ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดคือ กระบวนการขยายตัวของเปลือกโลก และการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน ซึ่งแผ่นดินไหวส่วนใหญ่ เกิดขึ้นบนเขต “รอยเลื่อนมีพลัง (active fault zone)” รอยเลื่อนมีพลังแตกต่างจากรอยเลื่อนไม่มีพลังตรงที่ รอยเลื่อนมีพลังจะมีการสะสมพลังงาน สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้อีกในอนาคต ในขณะที่รอยเลื่อนที่ไม่มีพลังไม่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้อีก
ที่ตั้งโครงการอยู่บริเวณรอยเลื่อนที่มีพลังหรือไม่?
โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานีตั้งอยู่ในเขตที่ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว โดยตั้งอยู่ในเขต 0 ซึ่งความรุนแรงน้อยกว่า lll เมอคัลลี่ ตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือเท่านั้น ( ไม่มีความเสี่ยง ไม่จำเป็นต้องออกแบบอาคารรับแรงแผ่นดินไหว ) นอกจากนั้นข้อมูลจากกรมอุตินิยมวิทยายังแสดงให้เห็นสถิติศูนย์กลางแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ระหว่าง พ.ศ.2518-2549 ซึ่งไม่ปรากฏจังหวัดอุดรธานี ดังนั้นการดำเนินการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรจะไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
แม้ว่าโครงการเราจะอยู่ในเขตที่ปลอดการเกิดแผ่นดินไหว แต่โครงการเราก็ยังออกแบบให้เปลือกอุโมงค์ทนแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหวได้จนถึงระดับประมาณ 7 ริกเตอร์
ที่มา :
http://www.dmr.go.th/main.php?filename=Thaifelt

สารเคมีที่โครงการใช้ในการลอยแร่เป็นอันตรายหรือไม่ ?

สารเคมีทุกชนิดที่ใช้ในกระบวนการผลิต ส่วนใหญ่อยู่ในรูป ไฮโดรคาร์บอน และสารอินทรีย์ที่สกัดจากพืชหรือจากสัตว์ อาจมีการปนเปื้อนอยู่ในน้ำที่ติดไปกับหางแร่และผลิตภัณฑ์ แต่จะถูกย่อยสลายได้ด้วยความร้อนให้เปลี่ยน กลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์( CO2), น้ำ( H2O) และไนโตรเจน( N) โดยสารเคมีที่ปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์จะถูกย่อยสลายโดยการเผาไหม้ในระหว่างกระบวนการอบแห้ง ส่วนที่ปนอยู่ในน้ำที่ใช้ในการลอยแร่จะถูกย่อยสลายในขั้นตอนการระเหยน้ำ
      สารเคมีทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการลอยแร่จะปนเปื้อนอยู่ในของเสีย ซึ่งมีความเข้มข้นที่ต่ำมาก โดยไม่มีความเป็นพิษต่อมนุษย์แต่อย่างใด ยกเว้นกรดไฮโดรคลอริกซึ่งใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น (30 มิลลิลิตรต่อแร่ดิบ 1 ตัน) แต่อย่างไรก็ตาม กรดไฮโดรคลอริกที่ใช้ จะเปลี่ยนสภาพเป็นเกลือ ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพและต่อพื้นที่โดยรอบ

การจัดเก็บสารเคมี
หลักการจัดเก็บสารเคมีของโครงการมีดังนี้
1.เก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด เก็บในที่เย็นและแห้ง ใช้เฉพาะในบริเวณที่ระบายอากาศได้ดี
2.เก็บสารเคมีที่อุณหภูมิ +15 ถึง +25 องศาเซลเซียส
3.จัดให้มีฝักบัวอาบน้ำ และอ่างล้างหน้าในบริเวณที่มีการใช้หรือการเคลื่อนย้าย
4.อย่าหายใจเอาฝุ่นของสารเข้าไป อย่าสัมผัสถูกตาผิวหนังหรือเสื้อผ้า
5.หลีกเลี่ยงการสัมผัสเป็นระยะเวลานาน หรือการสัมผัสสารซ้ำ
6.ให้ล้างทำความสะอาดร่างกายให้ทั่วถึงทุกครั้งภายหลังทำการเคลื่อนย้ายสาร
7.ให้ทำความสะอาดเสื้อผ้าที่ปนเปื้อนสารก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
8.ภาชนะที่บรรจุสารเคมี กำจัดโดยบริษัทกำจัดขยะที่ได้รับใบอนุญาตจากทางราชการ

ทำไมโครงการต้องเก็บดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ ไปตรวจ ?

การเก็บตัวอย่างดิน น้ำ อากาศ ฯลฯ คือการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางโครงการได้ตระหนักถึงความสำคัญในด้านการดูแลคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณโดยรอบโครงการและพื้นที่ชุมชนใกล้เคียง จึงได้ดำเนินการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมปีละ 2 ครั้ง ในช่วงฤดูแล้งและฤดูฝน ในระยะก่อนดำเนินการทำเหมืองนับตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2545 เป็นต้นมาและจะเก็บเพิ่มเป็นปีละ 4 ครั้งเมื่อได้รับใบอนุญาตดำเนินการเหมืองซึ่งพารามิเตอร์ที่ทำการตรวจวัดได้แก่ คุณภาพอากาศในบรรยากาศ, ความเร็วและทิศทางลม, ระดับเสียงในบรรยากาศ, ระดับความสั่นสะเทือน, คุณภาพน้ำผิวดิน, คุณภาพน้ำใต้ดิน, คุณภาพดินและนิเวศวิทยาทางน้ำ จุดประสงค์ในการเก็บ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมก่อนดำเนินการเหมืองและช่วงดำเนินการเหมืองว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ในทิศทางใด เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเหมืองจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของชาวบ้าน
        นอกจากนี้ทางโครงการได้เชิญหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 9, สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อุดรธานี รวมถึงตัวแทนผู้มีส่วนได้เสีย มาร่วมดำเนินการเก็บในแต่ละครั้งด้วยเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและความโปร่งใสในการดำเนินการ
    เมื่อได้สรุปผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมแล้วทางโครงการจะดำเนินการจัดส่งให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องรวมถึงชาวบ้านในพื้นที่ได้รับทราบทุกครั้ง

โครงการอุดรโปแตซจะใช้ระเบิดในการขุดแร่หรือไม่?

การนำแร่ออกมาด้วยวิธีการใช้ระเบิดเหมาะสำหรับการทำเหมืองที่มีความหนาของชั้นแร่มาก ซึ่งทางโครงการจะไม่ใช้วิธีดังกล่าวเนื่องจากพื้นที่ทำเหมืองของโครงการมีชั้นแร่หนาเฉลี่ยเพียง 3.5 เมตร โครงการจึงเลือกใช้เครื่องขุดแร่แบบต่อเนื่อง (Continuous Miner) ซึ่งสามารถขุดแร่ได้ในช่วงความสูง 1.5-4.1 เมตร แร่ที่ขุดได้นั้นจะถูกลำเลียงโดยรถขนแร่ในเหมืองใต้ดินแบบ Shuttle Car เพื่อป้อนเข้าสู่ระบบสายพานลำเลียงขนแร่ไปยังผิวดินเพื่อเข้าสู่กระบวนการแต่งแร่ต่อไป

โครงการให้ความสำคัญในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรแค่ไหน ?

ภายในโรงแต่งแร่รวมถึงเหมืองใต้ดินจะมีเครื่องจักรและยานพาหนะซึ่งเมื่อถูกใช้งานในระยะหนึ่งจะมีการเสื่อมสภาพหรือหมดอายุการใช้งาน ดังนั้นทางโครงการจึงวางมาตรการในการตรวจสอบ บำรุงรักษา หรือตรวจสภาพเครื่องยนต์/เครื่องจักรที่ใช้ในโครงการอยู่เป็นประจำ เมื่อพบสิ่งใดผิดปกติให้รีบดำเนินการแก้ไขทันที เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการปฏิบัติงาน ลดมลพิษทางอากาศ ลดระดับเสียง ลดแรงสั่นสะเทือนและเพื่อให้เครื่องจักรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงถือได้ว่าตรวจเช็คและซ่อมบำรุงเครื่องจักนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

คนงานในเหมืองใต้ดิน จะมั่นใจในมาตรการด้านความปลอดภัยได้อย่างไร ?

โครงการเหมืองแร่โพแทชจังหวัดอุดรธานี ได้กำหนดมาตรการความปลอดภัยสำหรับคนงานหรือผู้ที่จะเข้าไปในเหมืองใต้ดินโดยได้จัดหาอุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลไว้ดังนี้
1. หมวกนิรภัย (Safety Helmet)
2. รองเท้านิรภัย (Safety Shoes)
3. อุปกรณ์ป้องกันเสียง (Ear Plug)
4. ชุดงานเหมืองใต้ดิน (Protective Work Clothing)
5. ถุงมือ (Protective Gloves)
6. แว่นตานิรภัย (Safety Glasses)
7. ไฟฉายสำหรับงานเหมืองใต้ดิน (Miner’s Lamp)
8. อุปกรณ์ช่วยหายใจส่วนบุคคล (Self-Contained Self-Rescuer, SCSR)
9. บัตรประจำตัวเข้า-ออก เหมืองใต้ดิน (PICS/PICM)
10. ชุดปฐมพยาบาลเบื้องต้น (มีเฉพาะหัวหน้างานจำนวน 2 ชุด)
11. พนักงานทุกคนต้องมีเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน (Important Emergency Number) ซึ่งได้แก่
1) เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน (Emergency Number)
2) เบอร์โทรศัพท์ห้องควบคุมกลาง (Control Center)
3) เบอร์โทรศัพท์ห้องควบคุมเหมืองใต้ดิน (Mine Control Room)
การสวมอุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลก่อนลงไปในเหมืองใต้ดินเป็นหนึ่งในมาตรการที่โครงการได้กำหนดให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยในการทำงานของคนงาน
ภาพที่ 1 อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกำหนด
ภาพที่ 2 อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคลของคนงานในเหมืองใต้ดิน
ภาพที่ 3 และ 4 ตัวอย่างการแต่งกายของผู้ที่ลงไปในเหมืองใต้ดิน

ในช่วงก่อสร้างจะมีรถบรรทุกดินบรรทุกหินวิ่งกันทั้งวันทั้งคืนจะเกิดฝุ่นและความรำคานต่อชาวบ้านหรือไม่?

ในช่วงก่อนสร้างทางโครงการได้วางมาตรการด้านการคมนาคมไว้ดังนี้
1. ให้ปรับปรุงสภาพพื้นผิวจราจรในเส้นทางการขนส่งแร่ให้เป็นถนนลาดยางหรือคอนกรีต เพื่อไม่ให้          เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย
2. ให้มีระบบการทำความสะอาดล้อรถบรรทุกที่ออกจากพื้นที่เตรียมการทำเหมือง และพื้นที่ก่อสร้าง
3. ให้ควบคุมรถบรรทุกวัสดุก่อสร้างไม่ให้บรรทุกเกินพิกัดน้ำหนักที่กฎหมายกำหนด
4. ให้จำกัดความเร็วของรถบรรทุกตามที่กฎหมายกำหนด และในช่วงผ่านชุมชนไม่เกิน 30 กิโลเมตร          ต่อชั่วโมง
5. ให้หลีกเลี่ยงการขนส่งวัสดุก่อสร้างในชั่วโมงเร่งด่วน ในช่วงเช้าและช่วงเย็น (เวลา 07.00-                     08.30 น. และ 15.30-17.30 น.)
6. ให้ควบคุมให้พนักงานขับรถปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
7. ให้ติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบและป้ายสัญญาณเตือนในบริเวณทางเข้า-ออกพื้นที่โครงการ ทาง              ข้ามรถไฟ และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ให้ชัดเจน
8. ให้มีเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกพื้นที่โครงการ และช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจ
เกิดขึ้น
9. ให้อบรมพนักงานเรื่องการขับรถ ตลอดจนมีบทลงโทษอย่างเข้มงวด เมื่อมีการฝ่าฝืนกฎและเมื่อมี          การใช้สารเสพติด เช่น ยาบ้า เป็นต้น
10. ให้ตรวจสอบและปรับปรุงผิวจราจร ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรให้อยู่ในสภาพดีตลอดช่วงเวลา       ก่อสร้างโครงการ

จากมาตรการด้านการคมนาคมที่รัดกุมของโครงการจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างแน่นอน

อุดรโปแตซ จ้างงานเป็นพันอัตรา มีตำแหน่งอะไรบ้าง?

การดำเนินโครงการเหมืองแร่โพแทช คำขอประทานบัตรที่ 1-4/2547 ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะก่อให้เกิดการจ้างงานทางตรงกว่า 1,100 อัตรา และคาดว่าจะเกิดการจ้างงานทางอ้อมอีก 4,500 อัตรา ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. ช่วงก่อสร้าง 1,307 ตำแหน่ง
1.1 โรงงาน 1,000 ตำแหน่ง
ทำงานในส่วนของ งานอาคารสำนักงาน โรงงาน บ่อน้ำดิบ บ่อน้ำเกลือ พร้อมติดตั้งระบบป้องกันและตรวจสอบการรั่วซึม การเดินระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ความปลอดภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม งานระบบเชื่อมทางรถไฟ งานก่อสร้างระบบขนส่งผลิตภัณฑ์ งานขนดิน ก่อสร้างถนน คันดินรอบโครงการ ซึ่งไม่ได้กำหนดระดับการศึกษา
1.2 กิจกรรมก่อสร้างใต้ดิน 307 ตำแหน่ง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ได้แก่ การก่อสร้างอุโมงค์เอียงคู่ (Twin Decline) โครงการจะจัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีความรู้ชำนาญเฉพาะด้าน ซึ่งจะมีทั้งผู้รับเหมาภายในประเทศ และผู้รับเหมาจากต่างประเทศ
2.ช่วงดำเนินการ
จะแบ่งเป็นฝ่ายเหมืองแร่และฝ่ายโรงแต่งแร่โดยจัดแบ่งหน้าที่และจำนวน ตามตารางดังภาพที่แสดง

ปัจจุบันเราเอาโพแทชจากที่ไหนมาใช้?

แหล่งแร่โพแทชคุณภาพดี ที่สามารถดำเนินการในเชิงพาณิชย์มีมากในประเทศแคนาดา รัสเซีย และเบลารุส รวมกันประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดจากทั่วโลก ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในอังกฤษ เยอรมนี สเปน สหรัฐอเมริกา  อิสราเอล จอร์แดน จีน ชิลี และบราซิล  ในขณะนี้ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียยังไม่สามารถผลิตโพแทชได้เอง ยังคงต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด ยกเว้นจีน และสปป.ลาว ที่เริ่มพัฒนาเพื่อนำขึ้นมาใช้ประโยชน์แต่กำลังการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ที่สำคัญแหล่งสำรองแร่ที่ สปป.ลาวกำลังเร่ง พัฒนานั้นเป็นแหล่งเดียวกับพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางของแหล่งนี้ เริ่มสามารถนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว

โพแทชสำคัญต่อเราแค่ไหน?

โพแทชเป็นแร่ธาตุซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช เป็นวัตถุดิบสำคัญชนิดหนึ่งหรือเรียกได้ว่าเป็น แม่ปุ๋ย ในปัจจุบันทั่วโลกได้นำมาใช้เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ทั้งในด้านการผลิตอาหารสำหรับมนุษย์ และพืชเพื่อใช้เป็นพลังงาน  เนื่องจากโพแทชสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของพืชโดยเฉพาะส่วนรากและผล ช่วยให้พืชสามารถดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆได้ดีขึ้น สร้างภูมิต้านทานต่อโรคและแมลงต่างๆ รวมถึงพืชผลและเมล็ดพันธุ์มีคุณภาพสูงขึ้น

 

ความต้องการใช้แม่ปุ๋ยโพแทชมากขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ในประเทศไทยมีการนำเข้าโพแทสเซียมคลอไรด์ประมาณ 700,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ประเทศในภูมิภาคเอเชียยังมีความต้องการโพแทชถึงปีละประมาณ 12 ล้านตัน คิดเป็นการบริโภคแร่โพแทชถึงร้อยละ 30 ของปริมาณแร่โพแทชทั้งหมดที่ผลิตได้ในโลก

แร่โพแทช คืออะไร?

โพแทชเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่ง  เกิดจากการตกตะกอนของเกลือที่ระเหยในแอ่ง บริเวณที่เป็นทะเลในสมัยโบราณหลายร้อยล้านปี แหล่งแร่จะวางตัวอยู่ค่อนข้างลึกจากผิวดิน มนุษย์ได้นำแร่โพแทชมาใช้ประโยชน์เนื่องจากมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช แร่ธาตุที่สำคัญต่อการเพาะปลูกมี 3 ชนิด ได้แก่ ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) หรือที่เรียกย่อๆว่า เอ็น-พี-เค (NPK) โดยโพแทสเซียมมักจะถูกพบในรูปของเกลือโพแทสเซียมคลอไรด์ (KCl) ซึ่งรวมตัวกันอยู่กับเกลือธรรมดา ทั้งเกลือทะเล หรือเกลือสินเธาว์ (NaCl) ทับถมกันอยู่ใต้ดินเป็นล้านๆปีจะถูกเรียกในนาม โพแทช

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า ความเป็นส่วนตัวของคุณคือสิ่งสำคัญสำหรับเรา เราต้องการข้อมูลของคุณเพียงเพื่อการประมวลผลที่จำเป็นต่อการให้บริการ โปรด ยินยอม ถ้าคุณยอมรับเงื่อนไขการข้อตกลงในการใช้งานที่รวมถึง PDPA ของไทย

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า